ที่ด่านหนองคาย เอกสารมากมายถูกจัดเรียงเพื่อยื่นต่อศุลกากร และเจ้าหน้าที่ตม.เพื่อตรวจรถและคนก่อนข้ามแดน ซึ่งหลักๆ ก็จะมีบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง เอกสารประจำรถ ที่แปลเล่มมาจากกองทะเบียนแล้ว เอกสารต่างๆ จะต้องทำสำเนาตามที่กำหนด แต่สำหรับผู้เขียนกับคณะแล้ว การเตรียมเอกสารเพื่อการข้ามแดน ยังจะต้องเตรียมสำหรับการเดินทางในประเทศ สปป.ลาว ดังนั้นจึงได้ใช้บริการจากน้องๆ ที่รับถ่ายเอกสารอยู่บริเวณนั้น (นายเปรม) ครับ ซึ่งจะช่วยได้มากเกียวกับเอกสารที่บางครั้งมีการเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนโดยที่เราไม่ทราบหรือเตรียมตัวมาก่อน ซึ่งช่วยให้การผ่านแดนเป็นไปอย่างราบลื่น ในระหว่างการตรวจสอบเอกสารทางฝั่งไทย เจ้าหน้าที่ศุลกากรก็เข้ามาคุย มาสอบถามที่มาที่ไปของรถแต่ละคัน พร้อมทั้งฝากไปยังนักเดินทางที่จะข้ามแดนด้วยว่า”รถทุกคันจะต้องมีที่มาที่ไป ตรวจสอบได้ จะช่วยให้การข้ามแดนราบลื่น และต้องไม่ปิดบังข้อมูลที่ควรจะต้องแจ้ง มิฉะนั้นหากตรวจสอบพบในภายหลัง จะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
ข้ามสะพานมิตรภาพด้วยหัวใจพองโต
เมื่อเอกสารการข้ามแดนฝั่งไทยเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาขี่และขับรถข้ามสะพานมิตรภาพไปยังฝั่งสปป.ลาวกันละครับ ตื่นเต้นไหม…? ถามได้ ตื่นเต้นแทบแย่ และเมื่อข้ามมาจอดหน้าด่านของสปป.ลาวแล้ว กระบวนการยื่นและตรวจเอกสารของรถทุกคัน พร้อมกับแสดงตัวเพื่อตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง นายด่านจะสอบถามถึงวัตถุประสงค์ของการเดินทาง ฯ ทว่าเมื่อเป็นการข้ามแดนครั้งแรกของรถในขบวนทั้ง 4 คัน จึงต้องใช้เวลาเพื่อบันทึกประวัติกันนานพอสมควร เสร็จจากเอกสารผ่านแดนแล้ว เราก็ขยับรถออกมาเพื่อซื้อประกันภัย เพื่อความปลอดภัยและลดปัญหาหากเกิดอุบัติเหตุ แต่ที่อยากจะเตือนไว้คือ ซิมการ์ด ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือซื้อใหม่ก็ได้ครับ แต่ถ้าต้องการจริงๆ ก็ให้คนขายเปิดเบอร์ให้ใช้งานเน็ตได้ตรงนั้นเลยนะครับ
ก้าวที่สองของการเดินทางได้เริ่มขึ้นแล้ว
นับก้าวแรกของการเดินทางจากกทม.มาถึงด่านชายแดนไทย-ลาว ตอนนี้คณะของเราได้เริ่มก้าวที่ของของการเดินทาง โดยจุดหมายแรกคือไปให้ถึงวังเวียงเพื่อทานอาหาร แต่เนื่องจากเราใช้เวลาที่ด่านนานมากทำให้เวลาของเราเกินไปนับชั่วโมง จึงต้องพยายามเดินทางช่วงแรก เวียงจันท์-วังเวียงให้เร็วที่สุด เราใช้ถนนเส้นใหม่ ที่ดูดีมาก(ในช่วงแรก)ทางตรง เรียบ แม้จะต้องคอยระมัดระวังทุกสิ่งอย่างรอบตัว ยังต้องรีบปรับตัวให้คุ้นชินกับการขับรถชิดขวาให้เร็วที่สุด แต่อุปสรรค์มักมาโดยไม่รู้ตัว หลุม มากมายไม่รู้มาจากไหน ตลาด รถใหญ่ วิ่งกันขวักไขว่ กว่าจะหลุดพ้นมาได้เล่นเอาเหนื่อย แต่ทั้ง 4 ก็รอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัย
ถนนเส้น 13 เหนือ มุ่งหน้าสู่วังเวียง ทางส่วนใหญ่ดูเหมือนดี แต่ไม่สามารถใช้ความเร็วได้เท่าที่ควร เนื่องจากจะมีหลุมมาคอยดักเอาไว้เป็นระยะๆ แม้จะไม่ถี่ แต่รถในขบวน 2 คันไม่ชอบหลุม จำได้ไหมครับ Kawazaki GTR 1400 กับ Suzuki Hayabusa แต่ด้วยความสามารถและทักษะการขับขี่ ช่วยให้สามารถรอดพ้นจากปากหลุมไปได้มากมาย ที่พลาดก็ไม่ถึงกับสร้างความเสียหายครับ เราถึงวังเวียงเอาบ่ายแก่ๆ กันแล้ว หิวเต็มที่ จึงมองหาร้านอาหารที่อยู่ริมถนนเลย เพื่อจะได้เสียเวลาน้อยที่สุด ก็ได้ร้านขนาดกลางๆ ที่ตรงริมสนามบินเก่านั่นเองครับ ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง เราก็เตรียมตัวออกเดินทาง โดยให้รถกระบะออกไปก่อน ส่วน 2 ล้อเข้าไปเติมน้ำมันให้เต็มถัง ทีแรกก็งงว่าจะเติมแบบไหนดี กลัวจะต้องเก็บเงินทอนไว้เป็นแสนกีบ แต่แล้วน้องต้า GTR ก็คิดออก บอกเด็กปั๊มไปว่า”เติม 200 บาท” ภาระจึงตกไปเป็นของเด็กปั๊มที่จะต้องคิดมาว่าจะเติมให้กี่ลิตร (อัตราแลกเปลี่ยนจะขยับทุกวันครับ แต่โดยประมาณคือ 230 กีบต่อ1 บาท)
เติมพลังกันแล้ว ก็ออกเดินทาง โดยจุดพักต่อไปคือร้าน “Kasi Cafe” ที่ตั้งอยู่บนถนนสายกาสี-เมืองนาน-หลวงพระบาง เราใช้เวลาจากวังเวียงมาถึงสามแยกกาสี เกือบ 3 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลเดิมครับ หลุมดักมากมาย เราแยกไปทางซ้าย แล้วแวะปั๊มล้างหน้าล้างตา เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ซึ่งสำคัญมาก เพราะระหว่างทางห้องน้ำหายากครับ ปั๊มมีน้อยเจอเมื่อไรก็เข้าซะให้เรียบร้อย จากปั๊มมาอีกไม่เกิน 30 นาทีเราก็มาถึงร้านกาแฟ “Kasi Cafe”ที่มีนายคำ เป็นเจ้าของ จิบกาแฟเชื่อมสัมพันธ์กันเรียบร้อย ถ่ายภาพเสร็จก็ออกเดินทาง เอาเมื่อฟ้าเริ่มมืดก่อนออกเดินทางเรามองเห็นสายตาเป็นห่วงจากนายคำ ด้วยเขาทราบดีว่าทางข้างหน้าเป็นอย่างไร แต่คณะเราไม่มีใครหวั่นไหว ต้องไปให้ถึงเมืองหลวงพระบางให้ได้
ถ้ามีเพื่อนดี หนทางยาวไกลแค่ไหนก็ไม่ต้องห่วง
ทางเริ่มมืด แต่ความงามยังหลงเหลือให้สัมผัส วิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม เมื่อฟ้าเริ่มมืด ดวงดาวก็เริ่มทอประกายแสง ระยิบระยับ เหมือนกับเรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ดวงดาว จากความสูงของเส้นทาง ที่ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนที่ระดับความสูงกว่า 1700 เมตรเหนือน้ำทะเล ความหนาวเย็นของอากาศยังเทียบไม่ได้กับความคิดของผู้เขียนที่มองเห็นเฉพาะทางที่ไฟส่องถึงเท่านั้น แต่จากความรู้สึกมันบอกว่าสองข้างทางถ้าไม่ใช่เหวลึกก็เป็นเขาสูง
เราโชคดีที่เส้นทางจากเมืองกาสีขึ้นไปจนถึงหลวงพระบาง แม้จะมืด แต่หลุมหรือช่วงถนนพังมีไม่มากนัก ทำให้ใช้เวลาไม่นานเราก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่ป้าย”หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก” เราหาที่จอดรถเพื่อติดต่อโรงแรมที่พัก ก่อนจะต้องวนเวียนหาอีกกว่าชั่วโมง เมื่อวิ่งมาเจอแล้ว กลับต้องเสียความรู้สึกเมื่อเราพบว่าห้องที่เราจองไว้ทางโรงแรมปล่อยให้นักท่องเที่ยวอื่นอยู่ต่อ นี่ขนาดจองผ่าน agoda แล้ว ยืนยันแล้ว แถมหักเงินส่งใบเสร็จกันเรียบร้อยแล้ว การเจรจาเกิดขึ้นทันทีและดูเหมือนจะไม่มีความรับผิดชอบจากทางโรงแรม เพราะให้เด็กๆ มาคุย แต่สุดท้ายด้วยคำขาดของเพื่อนร่วมทาง ทำให้เราได้ที่นอนในตัวเมืองเก่าในเวลาสี่ทุ่ม
22:30น. ทุกคนเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวัน จึงแยกย้ายกันเข้าพัก นัดกันไว้ว่าเช้าจะออกไปเดินชมตลาดกับนั่งจิบกาแฟประชานิยมที่แคมของด้วยกัน
“ความรื่นรมย์ไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย แต่คือการเดินทาง”
*ขอขอบคุณ ชุดขี่มอเตอร์ไซค์มาตรฐานโลกจาก Alpinestars ที่มอบชุดให้ www.autofreestyle.com ใช้ในการเดินทางครั้งนี้
“เฝอ” อาหารจานด่วนที่ไว้ใจได้ตลอดการเดินทาง
โรงแรมนี่แหละครับ ระวังเรื่องการจองให้ดีครับ
“เสฉวน”สุกี้ที่กำลังฮิตมากในหลวงพระบาง *ขอขอบคุณ ชุดขี่มอเตอร์ไซค์มาตรฐานโลกจาก Alpinestars ที่มอบชุดให้ www.autofreestyle.com ใช้ในการเดินทางครั้งนี้