ย้อนนึกถึงวันไปดูพิธีเปิดตัว “กู้ภัยวิหคเพลิง”
ทุกวัน เวลาขับรถอยู่ในกทม. ชอบที่จะฟังวิทยุ ที่เขารายงานการจราจร
และบ่อยครั้งที่มักจะได้ยินเรื่องของอุบัติเหตุทั้งที่เกิดบนพื้นราบ
และบนทางด่วน เรื่องชนกัน รถคว่ำ ของตกหล่นนี้มีเป็นประจำทุกวัน
ถ้าอยู่พื้นราบ ก็จะมีรถยก มีตำรวจ มีมูลนิธิ มากมายเข้าให้การข่วยเหลือ
แต่เมื่อมีเหตุบนทางด่วน เราก็จะได้ยินเขารายงานว่า
มีกู้ภัยทางด่วนเข้าช่วยเหลือ แวบหนึ่งของความคิด นึกขึ้นมาได้ว่า
เราเคยมีส่วนร่วมในการเปิดตัวหน่วยกู้ภัยบนทางด่วนเมื่อหลายปีก่อน
โดยมีนามเรียกขานว่า “หน่วยวิหคเพลิง(PHOENIX)”แถวส่วนร่วมในวันนี้นะ
เป็นคนระเบิดรถซะด้วย
หน่วยกูภัยพิเศษที่พร้อมสำหรับทุกสถานะการณ์บนทางด่วน
“ทางด่วน” ไม่ว่าใครๆ ก็ต้องรู้จัก เพราะเปิดใช้งานมานานนับสิบๆ ปีแล้ว ไล่มาตั้งแต่ขั้นที่
1 ขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 ซึ่งในแต่ละวันจะมีรถขึ้นไปใช้งานกันนับหมื่นนับแสนคัน
มีรถเกือบทุกประเภท ตั้งแต่รถแบบ 4 ล้อเล็กขึ้นไปถึงระดับหลายสิบล้อ และแน่นอนว่ารถแต่ละคัน
ต่างก็มีภาระกิจที่แตกต่างกันด้วยเช่นรถนั่งส่วนบุคลก็จะไปทำงาน ไปเที่ยว
ไปติดต่อธุระกิจผู้โดยสารนี่แทบจะมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงกำลังจะตาย
รวมไปถึงรถบรรทุกทั้งหลายทั้งเล็กทั้งใหญ่ปะปนกันอยู่บนทางด่วน
ความหมายกว้างๆ ของคำว่ากู้ภัย
คือการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยไม่ว่าจะเป็นภัยชนิดใดก็ตาม เช่น ภัยธรรมชาติ
ภัยพิบัติที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือภัยที่เกิดจากการกระทำของคนก็ตาม
หน่วยกู้ภัยในบ้านเรามีมากมายหลายหน่วยงานที่เราคุ้นเคยดีก็จะเป็นมูลนิธิปอเต็กตึ้ง
และร่วมกตัญญูเป็นต้น
นอกจากนั่นก็จะเป็นองกรอิสระที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน
หน่วยบรรเทาสาธารณะภัย หน่วยอื่นๆ
อีกมากมายที่ทำงานให้ความชาวยเหลือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุหรือได้รับอันตรายอื่นๆ
ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดอะไรก็จะแบ่งกันไปทำ
แต่หน่วยกู้ภัยที่เรากำลังจะพูดถึงอยู่นี้ จะมีความแตกต่างไปจากภาพเดิมๆ ที่ผ่านตามาโดย
จะเป็นหน่วยกู้ภัยที่ให้ความช่วยเหลือในกรณีพิเศษแบบที่เราหรือคุณๆ
อาจจะคาดไม่ถึงว่ามันได้เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพียงแต่ไม่ค่อยจะมีใครเคยรับทราบเท่านั่นเอง
เช่นกรณีรถแก้สคว่ำใต้ทางด่วยเพชรบุรี เป็นตัวอย่างอันดีของกระบวนการกู้ภัย
แต่สำหรับบนทางด่วนแล้ว รถที่ขึ้นไปใช้ทาง โดยเฉพาะรถบรรทุกนั้น
มีหลายคันที่บรรทุกสารเคมี บรรทุกสารพิษ
ซึ่งโดยปกติจะต้องมีป้ายแจ้งสภาพของสารที่บรรทุกอยู่
แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการบางรายที่ไม่คำนึงถึงปัญหาเรื่องความปลอดภัย
มักง่ายด้วยการใช้รถกระบะธรรมดา สำหรับการขนย้ายสารเคมี ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว
จะไม่มีระบบป้องกันในเบื้องต้น ยิ่งถ้าเป็นการบรรทุกแบบง่ายๆ ใส่ท้ายรถธรรมดาแล้ว
การเกิดอุบัติเหตุแบบพื้นๆ ก็อาจจะพาไปสู่ความหายนะได้ในพริบตาเท่านั้นเอง
นอกจากนั้น แม้เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น มีสารเคมีรั่วไหล หน่วยกู้ภัยที่มีอยู่นั่น
ยังไม่สามารถจะจัดการให้สำเร็จได้อย่างปลอดภัย
ยังต้องอาศัยหน่วยกู้ภัยจากองค์กรเอกชนหรือหน่วยทหารเพื่อเข้าดำเนินการำจัด
แต่ระยะเวลาที่ใช้ก็ต้องยาวนานตามขึ้นไปด้วย เพราะกว่าจะมีการแจ้งขอความร่วมมือ
กว่าจะเดินทางออกจากหน่วยที่ตั้ง แต่ละขั้นตอนแต่ละเวลาที่เสียไปนั้น
มันหมายถึงความเสียหายที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะสารเคมีบางตัว จะมีฤทธิในการกัดกร่อน
บางตัวจะทำอันตรายกับระบบสมอง ระบบประสาท และที่ร้ายสุดคือ สารเคมีแบบที่ติดไฟง่าย
ซึ่งถ้าหากรั่วไหลแล้วเกิดประกายไฟขึ้นมาใกล้ๆ มันก็แทบจะไม่ต่างไปจากระเบิดเพลิงดีๆ นี่เอง
วิธีการทำงาน
โดยกระบวนการหรือขั้นตอนการเข้าถึงจุดเกิดเหตุนั่น
จะแตกต่างไปจากการกู้ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุธรรมดาๆ ครับ
เอาลองมาดูขั้นตอนการทำงานของหน่วยกู้ภัย “วิหคเพลิงกันหน่อยดีกว่าครับ
ลองสมมุติว่าเกิดอุบัติเหตุกันดูนะครับ
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ลุงแสง ชายวัย 50 กว่า ร่างเล็กแต่แข็งแรงนิสัยดี ลูกน้องในร้าน
ต่างก็ชอบแกทุกคนด้วยความเป็นคนที่มีอัทยาศัยชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เนืองๆ เช้าวันนี้ ลุงแสง
ได้รับคำสั่งจากเจ้าของร้านให้นำเอาสินค้า ไปส่งให้กับลูกค้าย่านถนนรามอินทรา ไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่แกทำงานนี้มา มันวนเวียนอยู่แบบนี้ทุกวันๆ
ในเวลาเดียวกับที่ สุชาติ กำลังรับประทานอาหารเช้ากับภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน
สุชาติเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง แม้เงินเดือนจะไม่มากนัก
แต่สุชาติก็พอจะมีกำลังที่จะซื้อรถมือสองสภาพสวยๆ มาใช้งาน
ด้วยเพราะบ้านพักกับที่ทำงานอยู่ไกลกันมากนั่นเองและเส้นทางไปทำงานที่สุชาติใช้อยู่ประคือทาง
ด่วนรามอินทรา เพราะบริษัทเขาอยู่ที่มีนบุรีนี่เอง
วินัย เพิ่งจะส่งลูกชายวัย 5 ขวบไปโรงเรียนที่แถวถนนสาทร ตั้งแต่เช้ามืด
วินัยหนุ่มใหญ่วัย 40 เขาประกอบอาชีพอิสระ เปิดร้านขายอาหารเล็กๆ อยู่กับบ้าน
ย่านรามบางเขน
โดยภรรยาจะอยู่บ้านเพื่อเตรียมเปิดร้านในช่วงสายของทุกวันแต่ละคนมีภาระและหน้า
ที่แต่งต่างกันไป ทว่าในวันนี้ ทั้ง 3 ชีวิต จะมาถึงจุดพลิกผันที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้น
“เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ”
ลุงแสงขับรถอยู่บนทางด่วน เขาไม่เคยสนใจว่าสารเคมี ที่บรรทุกอยู่ท้ายรถนั้น
จะมีความรุนแรงหรืออันตรายขนาดไหน เนื่องจากมันไม่เคยก่อปัญหาให้กับแกเลย
เช่นเดียวกับรถกระบะ 6 ล้อ คู่ใจที่รับใช้มานานนับสิบปี ทว่าในวันนี้
รถกระบะของลุงแสงเกิดเพลาหลุดทำให้เสียการทรงตัวพลิกตะแคงอยู่บนทางด่วน
ถังบรรจุสารเคมีท้ายรถตกกระแทกพื้นตัวสารเคมีเกิดการรั่วไหลออกมาส่งผลให้เกิดควันค
ละคลุ้งตามมา เป็นจังหวะเดียวกับที่สุชาติขับรถมาด้วยความเร็วสูงเพื่อเร่งไปให้ถึงที่ทำงาน
และะยังใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างการขับรถทำให้ไม่มีสมาธิกับสภาพเส้นทาง
กว่าจะรู้ตัว รถของสุชาติก็พุ่งเข้าชนรถของลุงแสง ที่พลิกคว่าอยู่ก่อนหน้า เสียงดังสนั่น
แต่นับว่าโชคยังดีที่สุชาติคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ตลอดเวลา
ซึ่งแม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังมีสติพอที่จะหนีออกมาจากตัวรถ พร้อมกับแจ้งหน่วยกู้ภัยทางด่วน
ทว่าโชคไม่ได้เข้าข้างกับทุกคน วินัยที่ต้องใช้ถนนเส้นเดียวกันนี้ เดินทางกลับบ้าน
วินัยเห็นรถที่เกิดอุบัติเหตุชนกันอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ตกใจจนไม่สามารถจะคุมสติได้
จึงทำให้รถของวินัยพุ่งเข้าชนรถของสุชาติเต็มแรง
จากแรงกระแทกทำให้วินัยที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิระภัยกระแทกเข้ากับพวงมาลัย
ต้องบาดเจ็บถึงขั้นหมดสติไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้รถของสุชาติเกิดเพลิงไหม้และเกิดระเบิดต
ามมาอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นเองก็มีผู้แจ้งเหตุไปยังหน่วยกู้ภัยทางด่วนเพื่อให้เข้ามาช่วยดำเนินการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
เข้าถึงเหตุการณ์
เมื่อได้รับการแจ้งจากฝ่ายสื่อสารแล้ว หน่วยกู้ภัย “วิหคเพลิง”
จะไปถึงที่เกิดเหตุให้เร็วและปลอดภัยที่สุด จากนั้นก็จะจอดรถให้ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ
50 เมตร เพื่อพิสูจน์ทราบถึงสารเคมีที่รั่วไหลอยู่ในเวลานั้นว่าจะมีอันตรายระดับไหน
โดยสามารถจะดูได้จากป้ายสัญญาลักษณ์ตัวเลข 4 หลักหรือกลุ่มตัวอักษรข้างภาชนะบรรจุ
สำรวจสภาพแวดล้อมต่างๆ ว่ามีความเสี่ยงระดับไหน
จากนั้นก็จะเตรียมเครื่องมือเพื่อเข้าไปทำการช่วยเหลือต่อไป
คราวนี้เรามาดูกันซิว่าเครื่องมือที่เขาใช้นั้น
มันมีความแตกต่างไปจากของที่เราเคยเห็นเคยรู้จักขนาดไหน จากเหตุการสสมุติที่เรายกขึ้นมานั้น
เมื่อหน่วยกูภัยเข้ามาถึง สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ใส่ชุดป้องกันสารเคมี
รวมถึงวิทยุสื่อสารที่ใช้ก็จะต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในชุด ห้ามถือลอยๆ
เดินเข้าไปเนื่องจากอาจจะทำให้เกิดประกายไฟจนลุกไหม้ขึ้นมาได้ สำหรับทีมแรกที่เข้าไปนั้น
จะทำการเก็บกู้เฉพาะสารเคมีให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เพื่อรอกระบวนการขั้นต่อไป จากนั้น
เจ้าหน้าที่ก็จะกลับไปที่รถ
แต่ก่อนจะถอดชุดได้ก็ต้องมีการฉีดน้ำล้างทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่งคราวนี้เพื่อป้องกันตัวเองแหล
ะครับ
เมื่อเสร็จงานช่วงแรก ต่อไปก็จะแต่งชุดผจญเพลิงเข้าไปเพื่อฉีดโฟร์มคลุมสารเคมีที่รั่วไหล
โดยสมมุติให้ว่าสารที่รั่วไหลมีคุณสมบัติเทียบเท่าน้ำมันเบ็นซินทีเดียวครับ การฉีดโฟร์มนั้น
จะต้องฉีดคลุมให้ดี เพื่อป้องกันเอาไว้ให้ได้ สำหรับยานพาหนะทีมแรกใช้นั้น จะเป็นรถ 6
ล้อขนาดเล็ก
แล้วนำไปดัดแปลงติดตั้งปั๊มน้ำขนาดเล็กเพื่อใช้สำหรับอีดฉีดน้ำยาและน้ำดับเพลิงนั่นเองครับโดยจ
ะแบ่งออกเป็น 2 ถัง ถังหนึ่งเก็บน้ำเปล่าๆ
อีกถังหนึ่งจะเป็นโฟร์มซึ่งจะผสมก่อนการใช้งานเป็นครั้งๆ ไปเท่านั่นครับ
ทีนี้มาดูไฟกันบ้าง เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ก็จะใช้ปืนยิงน้ำแรงดันสูงซึ่งสามารถจะยิงได้ประมาณ 15 นัดต่อครั้ง
จะเข้าไปยิงลูกน้ำเข้าไปยังบริเวณฐานไฟ
ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งส่วนมากแล้วก็จะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้นเองครับ(ตั้งแต่เริ่มฉีดเป็นต้นไป)
แล้วถ้าเป็นการช่วยเหลือคนเจ็บละครับ ไม่ยาก เพราะตราบใดมี่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารยังมีชีวิตอยู่
แต่ติดอยู่ในซากรถนั่น เจ้าเครื่องมือพิเศษที่จะจัดการตรงจุดนี้คือ
ตอนนี้เครื่องตัด,ถ่าง ซึ่งจะเป็นแบบที่ทำงานด้วยระบบไฮดรอลิค
โดยจะใช้เครื่องยนต์เบ็นซินเล็ก(อเนกประสงค์) ที่ออกแบบมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
เป็นเครื่องต้นกำลังไปปั่นปั๊มไฮดรอลิคทั้งนี้เพื่อให้มีกำลังเพียงพอสำหรับการตัดหรือถ่างตัวถังรถอ
อกได้ รวมถึงการเคลื่อนย้ายที่รวดเร็ว กินพื้นที่น้อยแต่จะต้องสามารถทำงานต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
ทีนี้เมื่อกู้ภัยหมายถึงการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บออกจากตัวรถเรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาของรถยกและรถลากจูงแล้วครับ โดยจะแบ่งงานออกดังนี้ ถ้าหากเป็นกรณีพลิกคว่ำ
ก็จะให้รถยกเข้าดำเนินการจัดการกู้ให้รถที่เกิดอุบัติเหตุกลับมาอยู่ในสภาพปกตืเสียก่อน
จากนั้นจึงดำเนินการลากจูงต่อไป ซึ่งจะเห็นว่ารถลากจูงนั้น
จะเป็นรถรุ่นเดียวกับรถดับเพลิงและรถขนอุปกรณ์อื่นๆ คือเป็นรถ 6
ล้อเล็กนั่นเพื่อความสะดวกในการทำงานที่สามารถให้ได้ทั้งความคล่องตัว
เพราะสามารถเลี้ยวกลับรถได้ในจังหวะเดียว
และพละกำลังที่สูงเพียงพอสำหรับรถเก็งและรถบรรทุกขนาดย่อมครับ
ในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือและการกู้ภัยนั้น
บางครั้งทีมกู้ภัยวิหคเพลิงก็ไม่สามารถจะทำงานแบบหัวเดียวกระเทียมลีบได้
ก็จะต้องมีการประสานงานกันระหว่างหน่วยกู้ภัยจากองค์กรอื่นๆ
รวมถึงการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้สูงขึ้นอยู่เสมอ
ทั้งนี้ด้วยสโลแกนที่ว่า “จักปกป้องผองชน ให้พ้นภัย”
ความช่วยเหลือต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น
แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพและความรวดเร็วขนาดไหนก็ตาม
ก็ยังไม่ดีเท่ากับการไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นเลยดีกว่า เพราะทุกครั้งที่ได้ยินเสียงไซเรนดังขึ้นนั้น
หมายถึงความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและอาจจะถึงกับสูญเสียชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเราช่วยๆ
กันประหยัดชีวิตให้อยู่ทนทานนานปีขึ้นไปอีกด้วยการเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ให้มากขึ้น
มีน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมทางมากขึ้นเท่านั้นก็จะช่วยคุณและครอบครัวได้แล้ว สวัสดีครับ
บรรยายภาพ
1.
2.ทีมวิหคเพลิง (PHOENIX)กำลังเข้าสำรวจความเสียหายในเบื้องต้น
รวมทั้งพิสูจน์ทราบสารเคมีที่อาจจะก่ออันตรายระดับไหนเพื่อเตรียมอุปกรณ์ป้องกันได้อย่างถูกต้อ
ง
3.เมื่อทราบแน่ชัดว่าเป็นสารเคมีชนิดใดก็จะสวมชุดป้องกันแล้วเข้าไปเก็บกู้ในเบื้องต้น
4.5.ถ้าเป็นสารเคมีที่ไวไฟก็จะฉีดคลุมเอาไว้ด้วยโฟร์มเพื่อป้องกันหากเกิดมีรถไฟไหม้อยู่ข้างๆ
6.ปืนยิงน้ำแรงดันสูง ที่มีประสิทธิภาพ ลดการใช้น้ำและระยะเวลาในการดับที่รวดเร็ว
7.8.เครื่องวัดและตัดเหล็กซึ่งทำงานด้วยระบบไฮดรอลิค
ช่วยใกห้เข้าถึงผู้บาดเจ็บได้ในกรณีที่ประตูเปิดไม่ออกจริงๆ
9.เมื่อเพลิงสงบแล้วคราวนี้จึงส่งทีมใหญ่เข้าเก็บกู้สารเคมีออกจากพื้นที่
10.ส่วนคนเจ็บก็ส่งไปรักษาโดยหน่วยแพทย์อย่างปลอดภัย
11.ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน การทางมีใหญ่กว่าเพื่อจัดการให้พ้นทางได้เสมอ