สมัยที่ยังเป็นเด็ก ผู้เขียนได้มีโอกาสช่วยพ่อล้างรถอยู่เสมอๆ และทุกครั้งที่พ่อจะเช็ดรถรอบสุดท้ายพ่อก็จะเอาน้ำอะไรสักอย่างเทผสมลงไปในถังน้ำเล็กน้อย กลิ่นแปลกๆ แต่เช็ดแล้วรถพ่อเงางาม โตขึ้นมาจึงได้รู้ว่า จริงๆแล้ว น้ำอะไรที่ว่านั่นคือ “น้ำมันก๊าด” ธรรมดาๆ นั่นเอง โดยประโยชน์ที่มากกว่าใช้เช็ดรถคือ เมื่อรถโดนยางมะตอย ก็ไม่ต้องกลัว สามารถใช้น้ำมันก๊าดนี่แหละเช็ดออกได้ง่ายๆครับ
วันนี้เลยอยากจะพาแฟนๆ ทุกท่านได้มาลองใช้วิธีเก่าๆ ดั้งเดิมในการเช็ดทำความสะอาดรถ โดยเฉพาะรถสีขาวซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วย การใช้น้ำมันก๊าดนั้น ไม่ได้ใช้ตรงๆ กับสีรถนะครับ ถ้าเราต้องการเช็ดคราบยางมะตอยที่ติดสีรถ ให้ใช้ผ้าเช็ดรถชุบน้ำที่ผสมกับน้ำมันก๊าดนิดหน่อย เอาผ้าเปียกหมาดๆ นั้นค่อยๆ เช็ดตรงบริเวณที่เลอะ ถ้าอายุยางมะตอยไม่นานมาก ก็สามารถเช็ดออกได้ง่าย แต่ถ้าหากเราหลงลืมปล่อยไว้จนแห้ง ก็ต้องอดทนค่อยๆ เช็ดออกไปครับ
อย่างที่บอกครับ ค่อยๆ ไม่ต้องออกแรงมาก เพราะเราใช้วิธีทำให้ยางมะตอยละลายออกมาเพื่อไม่ให้เศษแข็งๆไปทำลายสีรถเรา อย่างรถที่ลงให้ดูนี้เป็นรถผู้เขียนเองครับ บังเอิญไปโดนยางมะตอยที่เขาซ่อมถนนเข้าอย่างจัง ยางมะตอยจับเป็นเส้นสวยงาม จึงต้องไปซื้อน้ำมันก๊าดมา 1 ขวด โดยท่านสามารถหาได้จากร้านขายวัสดุก่อสร้างหรือในโฮมมาร์ดทั้งหลาย ขวดละไม่กี่บาทครับ
ใช้ผสมน้ำเช็ดสีส่วนที่เลอะยางมะตอยออก เสร็จแล้วซักผ้าด้วยผงซักฟองธรรมดาๆ ให้สะอาด จากนั้นล้างสีรถด้วยน้ำยาตามปกติ แต่ตอนเช็ดแห้ง ผมเอาน้ำเปล่าครึ่งถัง ผสมกับน้ำมันก๊าด 1 ฝาขวด(ประมาณเอาได้ครับ) ตีๆๆๆ แล้วเช็ดรถเป็นรอบสุดท้าย จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน โดนสีรถจะเป็นเงาขึ้นทันที แถมยังช่วยให้สีรถที่เป็นสีขาวนั้นไม่กลายเป็นเหลืองๆ ได้อีกด้วย ลองดูครับ ภูมิปัญญาของคนรุ่นพ่อถ่ายทอดมา ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ
สุดท้ายจะบอกว่า สาเหตุที่ไม่ใช้น้ำยาเช็ดหรือยาขัดสีรถมาเช็ดเอายางมะตอยออกก็เพราะน้ำยาพวกนั้นจะมีส่วนผสมของตัวขัดสีรถด้วยนั่นเอง ซึ่งเมื่อใช้หลายๆครั้ง สีรถจะแตกต่างจากจุดอื่นๆ และยังเป็นการขัดเอาผิวสีออกไปโดยใช่เหตุนั่นเองครับ
หมายเหตุ ต้องเป็นน้ำมันก๊าดแท้เท่านั้นนะครับ นอกจากใช้เช็ดรถแล้ว แม่บอกใช้ชุบผ้าปิดแผลห้ามเลือดได้อีกด้วย
คราบยางมะตอยที่ติดทั้งแถบเลยครับ
ใช้ผ้าชุบน้ำผสมน้ำมันก๊าซเช็ดเบาๆ จะเริ่มละลายออกมาแบบนี้
สุดท้ายเช็ดรอบคัน ผลออกมาเงาวับ
