ถึงฤดูท่องเที่ยวที่แท้จริงของประเทศไทย ด้วยสภาพอากาศที่เป็นใจ จะไปไหนก็ดูคึกคักสนุกสนาน ไปทะเลก็ได้ฟ้าสวย ไปภูเขาก็ได้อากาศเย็นพร้อมชมทะเลหมอก ก็เลือกกันว่าจะไปไหนดี มีเวลามากก็ไปไกล มีเวลาจำกัดก็ไปใกล้ๆ ถ้าได้แค่วันเดียวละ จะเที่ยวได้ไหม…?
วังน้ำขียว
ห่างจาก กทม.เพียงชั่วอึดใจ วันนี้มีที่เที่ยวสำหรับการพักผ่อนจริงๆ ไปสูดอากาศ เติมโอโซนให้กับร่างกายและจิตใจ แม้คุณจะมีเวลาสั้นๆ เพียงแค่วันเดียว แลกกับการขับรถเป็นระยะทางเพียงแค่สองร้อยกว่า กม. เท่านั้น ออกเดินทางแต่เช้ามืด (สมัยผู้เขียนยังเด็ก จำได้ว่าพ่อเคยพาขับรถออกจากกรุงเทพเวลาประมาณตีสี่ เพื่อจะไปโคราช) จะไปทางเส้นถนนมิตรภาพ ไปทางสาย 304 เขาหินซ้อนก็ไม่เลว เพราะจุดหมายปลายทางของเราจะอยู่ที่ “ Montana farm” ที่ตั้งอยู่บนถนนสาย 304 นั้นหมายความว่า ถ้าคุณมาจากถนนมิตรภาพ วิ่งเข้าจังหวัดนครราชสีมา ก็ให้ขึ้นทางเบี่ยงไปทางอำเภอ ปักธงชัย มุ่งหน้า ปราจีนบุรี วิ่งไปจนผ่านทางเข้า อช.ทับลาน ทางที่จะขึ้นไปผาเก็บตะวันอันโด่งดังนั่นแหละครับ แต่เรายังไม่ไปเพราะเวลาน้อย ถ้าออกจาก กทม ก่อนฟ้าสาง เราน่าจะมาถึงที่นี่ได้ในเวลาเกือบๆ เจ็ดโมงเช้า ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศเย็นสบายที่สุด พระอาทิตย์กำลังขึ้น เราขับเลยทางเข้า อช. ทับลานไปอีกไม่กี่.กม ก็จะมีป้ายเล็กๆ ย้ำนะครับว่าเล็กๆ เขียนไว้ว่า “ Montana farm” เลี้ยวซ้ายเข้าซอยตามป้ายไปได้เลยครับ ทางไม่ใหญ่ เหมือนเข้าหมู่บ้านธรรมดาๆ
“ Montana farm” แค่ลานจอดก็กินขาดแล้ว
ใช้เวลาไม่นานนักเราก็เข้ามาถึงหน้าประตูของฟาร์มแห่งนี้ โดยเขาได้เตรียมลานจอดรถไว้ให้ทางด้านขวามือเพียงพอกับนักท่องเที่ยวแน่นอน และที่ลานจอดรถแห่งนี้ คุณยังสามารถมองเห็นวิวที่สวยงาม ของหมู่บ้านและทิวเขา รับแสงแดดได้อย่างชัดเจน จอดรถเสร็จ เราก็เข้าชมภายในฟาร์มได้เลยครับ เพราะเขาไม่เก็บค่าเข้าชม ชื่นชมจริงๆ
การเดินชมในฟาร์ม แนะนำว่าให้เดินไล่ไปตามทางเดินที่เขาออกแบบไว้นะครับ เพื่อที่จะได้ชมและถ่ายรูปไปได้เรื่อยๆ ในมุมมองที่สวยงามจริงๆ บรรดาดอกไม้ที่จัดแต่งไว้ ขอบอกว่างามจริงๆ แต่ถ้ายังเหนื่อยๆ กับการเดินทาง ขอแนะนำเข้าไปนั่งพักในร้านกาแฟ หรือจะเติมพลังกันจากร้านอาหารที่เขามีไว้บริการนักท่องเที่ยว ข้าวต้มร้อนๆ พอให้ร่างกายกลับมามีพลัง เดินชมดอกไม้
สุดทางตรง ไม่ใช่รถแข่งหรอกครับ แต่หากเดินทางจนสุดทางตรง ก็จะพบอยู่สองสิ่ง ขวามือจะเป็นคอกแกะ ที่ร้องกันระงม ฟังเพลินๆ สีสวยๆ เพราะแกะที่นี่ไม่ได้มีแต่สีสวยอย่างเดียวครับ แต่ถ้าเดินต่อไปทางซ้ายอีกนิด ก็จะเป็นห้องน้าที่ออกแบบมาได้สวยงามจริงๆ แต่ต้องลงเนินไปอีกเล็กน้อย
ถ้ารูปแกะเสร็จ เราก็จะมาเจอร้านขายของที่ระลึก สวยๆงามๆของเด็กๆ และสาวๆ ถ้ามองให้เลยออกไปอีกนิด ก็จะเห็นไร่องุ่นอีกไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ยังไม่สวยสักเท่าไร ยังครับ ในฟาร์มยังมีมุมให้เดินเล่นและถ่ายรูปอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นรถโฟล์คตู้คันงาม รถไถคันเก่ง รวมทั้งกระทิงตัวโตที่ยืนจังก้า รอนักเดินทางอยู่กลางเนินเขา เวลา 2-3 ชั่วโมง ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้ตัวร่างกายก็เรียกร้องให้เติมพลังงานอีกแล้ว จะเป็นสลัดผักสดไฮโดรโปนิค ที่ปลูกเองในฟาร์ม การแฟ แก้เหนื่อย ไปจนถึงสเต็กจานโต ที่พร้อมให้บริการอยู่เป็นสัดส่วน พร้อมพนักงานหน้าตายิ้มแย้ม
เที่ยงกว่าๆ เราถึงจะได้เคลื่อนย้ายตัวเองออกมาจากฟาร์ม พร้อมกับความสุขที่ได้จากความสดชื่นของอากาศ ความสวยงามของดอกไม้หลายสีสรร และยังอิ่มอร่อยกับสเต็กชิ้นโตและซุปอร่ิอยๆ ออกจาก “ Montana farm” เราเลี้ยวซ้ายไปอีกหน่อยแล้วเข้าไปทางเขาแผงม้า ชื่นชมกับสิ่งก่อสร้างสวยๆ ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขา ผ่านอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิงที่วันนี้ระดับน้ำลดลงไปมากแล้ว มาออกที่ หมูสี หน้า อช. เขาใหญ่ ก่อนจะวิ่งกลับกรุงเทพแบบไม่รีบไม่ร้อน ถึง กทม เย็นๆ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางแบบสบายๆ ในหนึ่งวันครับ
ตลอดเส้นทางไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร เพราะมีร้านอาหารให้บริการเป็นระยะๆ รวมทั้งปั๊มน้ำมันและแก๊สเช่นกัน การเดินทางถ้าคุณอยากจะวนเป็นวงกลม ก็สามารถวิ่งกลับทางสาย 304 มาออกปราจีนบุรีได้เช่นกันครับ
เสาร์ หรือ อาทิตย์ ก็ได้ครับ ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองไปกัน ถึงจะไม่ได้ค้างคืน แต่เราก็จะได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศสวยๆ อากาศเย็นๆ อาหารอร่อยๆ อย่างแน่นอน