ขี่รถเล็กเที่ยวภาคเหนือ ตอนที่ 3
ณ บ้านรักไทย พิษณุโลก เช้านี้อากาศหนาวเย็นพร้อมกับฝนโปรยปรายน่าจะตกทั้งคืน อากาศแบบนี้มันน่านอนต่อจริงๆ แต่ซักพักรู้สึกว่านอนต่อไม่ได้แล้วเพราะได้ยินเสียงนกหลายตัวร้องใกล้ๆเต้นท์ เหมือนกับว่าพวกมันต้องการปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาสัมผัสกับบรรยากาศในยามเช้า (แต่จริงๆผมว่ามันก็ร้องแบบนี้ทุกวันแหละ 555) มองดูนาฬิกาใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว แต่ฟ้าก็ยังไม่สว่างบวกกับหมอกหนาจัด จนมองไปทางไหนก็ขาวโพลนไปหมด
สิ่งแรกที่ทำคือล้างหน้าและแปรงฟันมันตรงเต้นท์เนี่ยแหละ เปิดเพลงฟังไปด้วย นกก็ส่งเสียงไป ฝนก็ตกพร่ำๆ หมอกก็มีให้ดู อากาศก็เย็นสบาย พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ความคิดในหัวผุดขึ้นมาทันใดคือต้มน้ำร้อนชงกาแฟดื่มดีกว่า
“ กาแฟแก้วนี้ลงทุนไม่ถึงสิบบาท แต่ธรรมชาติผมไม่ต้องซื้อ ”
หลังจากชื่นชมกับบรรยากาศรอบตัวกับกาแฟแก้วโปรด ฝนก็เริ่มหยุดตกบ้างแล้ว แต่ฟ้าก็ยังมัวๆ ผมเดินไปสำรวจรอบๆ เดินไปที่ถนน แต่คงเพราะฝนตกและเป็นวันธรรมดาด้วย ไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมา
ผมก็ถ่ายรูปตามประสา เอาโดรนที่ขนมาลองบินสำรวจและถ่ายภาพทางอากาศ โดรนขึ้นได้ไม่นาน ฝนก็ตกลงมาซ้ำอีกแล้ว ต้องใช้คำสั่งบินกลับออโต้ด่วนเลย ไม่งั้นถ้ามอเตอร์โดนน้ำฝน ได้เมเดย์ เมเดย์แน่ 555
ดูเวลาจะเก้าโมงเช้าแล้ว ฝนตกไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเลย ผมก็ต้องย้ายเต้นท์และรถเข้าไปหลบฝนที่บ้านไม้ ค่อยๆเก็บของ ถ้ามัวรอเต้นท์ให้แห้งคงอีกนาน เก็บทุกอย่างเสร็จรัดของใส่รถก็เกือบชั่วโมง ฝนเริ่มตกเบาลง
ผมตัดสินใจเดินทางต่อเพื่อจะไปยังจุดหมายต่อไป ขี่ออกมาจากบ้านรักไทยพอถึงสามแยกที่มาเมื่อวาน เลี้ยวซ้ายกลับทางเดิมซึ่งทางชันมาก ดูจากถนนที่เปียกและฝนก็ตกเบาๆ ตัดสินใจไม่กลับทางเดิม บิดคันเร่งขี่ตรงไปตามทาง ซักพักก็มีป้ายบอกทางว่าไปถนนหลวงหมายเลข 12
ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะขี่ผ่านชุมชน สองข้างทางจะมีวิวเขาสลับกับสวนยาง มีช่วงลงเขาชันๆ มีช่วงทำถนนใหม่ที่มีทั้งดินโคลน น้ำขัง ลื่นใช้ได้
ถึงจะเจออุปสรรคหลากหลาย แต่มันก็ทำให้ผมได้ใช้ทักษะและประสบการณ์ที่มีอยู่ ผ่านมันมาได้…หลังจากนั้นผมพยายามมองหาป้ายบอกทางไปด้วย จนมาเจอป้ายว่าถนนที่ขี่มาเป็นทางหลวงชนบทหมายเลข 2039 ขี่จนมาเจอทางบรรจบกับถนนหลวงหมายเลข 12 ถ้าเลี้ยวซ้ายไปอำเภอวังทอง เลี้ยวขวาไปนครไทย เขาค้อผมเลือกเลี้ยวขวาเพราะจะไปขี่เที่ยวเขาค้อก่อน…
ระหว่างทางที่ไปตามถนนหลวงหมายเลข 12 ถนนไมค่อยดี ชำรุดบ้าง ซ่อมถนนบ้าง รถยนต์ก็ขับกันเร็ว ทำให้ต้องขี่ด้วยความระมัดระวัง ผมเลือกที่จะขี่ชิดซ้ายไปตามไหล่ทางขี่ไปก็หนาวไป อากาศก็เย็น ฝนก็ตกเบาๆ ทำให้เจอหมอกตลอดทางเลยครับ
ขี่ไปจนถึงทางเข้าอุทยานแสลงหลวง (บนถนนหลวงสาย 12) จะอยู่ทางขวามือ ก็เลยจอดแวะสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยาน เพื่อขอข้อมูลกับรายละเอียดในการเข้าพักกางเต้นท์ในอุทยาน
ผมตัดสินใจว่าจะพักที่นี่และฝากสัมภาระไว้ที่ป้อมตรวจทางเข้า ลงชื่อในสมุดขอใช้พื้นที่กางเต้นท์ จากนั้นก็ขี่ไปเที่ยวต่อ ขี่ไปก็จอดไป แวะถ่ายรูปบ้าง ไปจนถึงแคมป์สน เจอปั้มพอดี เติมน้ำมันไป 80 บาท ขี่ต่อไปขึ้นเขาที่วัดผาซ่อนแก้ว ชื่นชมบรรยากาศได้ซักพักเริ่มหิว เลยขี่ลงมากินข้าวก่อนถึงสามแยกแคมป์สน
หลังจากทานเสร็จ จ่ายค่าข้าวบวกต้มเลือดหมูไป 40 บาท ก็ขี่เที่ยวต่อเลยครับ เจอสามแยกแคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไปทางเขาค้อ ผมขี่ไปเที่ยวที่กังหันลมเขาค้อก่อน ใช้เส้นทางหลวงชนบทหมายเลข 2196 ขี่ไปจนถึงสามแยกจะมีป้ายบอกทางก็เลี้ยวขวาจะเป็นทางขึ้นเขา เป็นทางหลวงชนบทหมายเลข 2305 ขี่ไปตามทางเรื่อยๆ เริ่มมองเห็นกังหันลมไกลๆ ทางโค้งสลับขึ้นลงเขา ขี่ไม่นานก็ถึงกังหันลมเขาค้อ
ถึงจะเป็นวันธรรมดา ก็มีผู้คนมาเที่ยวพอสมควร มีจุดจำหน่ายตั๋วรถชมวิว(แต่ผมไม่ได้เข้า ชมวิวข้างนอก ไม่เสียตังค์) มีของกินขายด้วย เพิ่งกินข้าวมาแท้ๆแต่ก็มีความอยากกินขนม ก็เลยโดนเครปชาโคลสีดำไส้กล้วยช็อคโกแลตไป 35 บาทนั่งดูวิวกังหันลม กินเครป ถ่ายรูปเพลินดีจริงๆ เดินเล่นอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ต้องเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
“เห็นเส้นทางที่มาแล้ว ต้องบอกเลยว่าคิดถูกจริงๆที่ไม่นำสัมภาระมาด้วย…”
ผมว่าผมคิดถูกนะที่ไม่นำสัมภาระทั้งหมดมาด้วย น้ำหนักสัมภาระที่หายไปทำให้ขี่ง่ายขึ้น เข้าโค้งขึ้นเขาได้อย่างไม่มีปัญหาแต่ก็ยังต้องระวังช่วงลงเขา ผมว่าขี่ยากกว่าช่วงขึ้นเขา เพราะทางชันลงเขายาวๆ สลับกับทางโค้ง อันตรายมากกว่าเนื่องจากเป็นรถสายพาน การใช้ทักษะการขี่จะไม่เหมือนกับรถใช้โซ่หรือรถใช้เพลาที่ผมเคยขี่มาถ้าเป็นรถที่มีเกียร์เราก็แค่ใช้เกียร์ต่ำลงเพื่อให้รถมีเอนจิ้นเบรก
แต่สำหรับรถสายพาน ถึงมันไม่มีเกียร์ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีเอนจิ้นเลยซะทีเดียว
ทักษะการขี่ที่ผมใช้คือขณะรถกำลังลงเขา กรอหรือบิดคันเร่งเบาๆแล้วยกคันเร่งบวกแตะเบรกชะลอนิดๆ รถจะมีอาการหน่วงหน่อยๆ แต่เอนจิ้นเบรกจะมาไม่มากเท่ารถมีเกียร์ ต้องใช้ร่วมกับการใช้เบรกหน้าและหลังให้สัมพันธ์กันอย่าใช้เบรกแช่ตลอด ผ้าเบรกจะร้อน เดี๋ยวเบรกไม่อยู่…ถ้ารถมีความเร็ว ควรชะลอเบรกก่อนถึงโค้ง ไม่จำเป็นไม่ควรใช้เบรกโค้ง…
ใช้ความเร็วให้สัมพันธ์กับการเข้าโค้ง ไม่จำเป็นไม่ควรตัดโค้งเพราะถ้ารถสวนมามีบวกแน่นอน…การเอียงตัวรถผมว่าก็สำคัญ แต่ไม่ต้องถึงขนาดเข่าเช็ดพื้นนะครับ…
ขี่ลงเขาไม่นานก็ถึงสามแยก ผมเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข 2196ขี่ไปจนถึงสามแยกไฟแดง มีป้ายบอกเลี้ยวขวาไปทางหลวงชนบทหมายเลข 2325“ จุดหมายต่อไปคือทุ่งสะวันนาเมืองไทยหรือทุ่งแสลงหลวงนั่นเอง ”
ขี่ไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข 2325 ไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไร ช่วงที่ใกล้จะถึงทุ่งแสลงหลวง มีทำทางขยายถนน พอเข้าไปในอุทยานได้ ไปแวะถ่ายรูปกับป้ายทุ่งแสลงหลวงและวิวสวยๆ ซักพักก็ขี่กลับออกมาทางหลวงหมายเลข 2258 ผ่านดูวิวเขาตะเคียนโง๊ะ ผ่านหน้าทางขึ้นพระตำหนักเขาค้อ จนมาถึงสี่แยกตัดการทางหลวงชนบทหมายเลข 2196 เลี้ยวซ้ายไปแวะถ่ายรูปตรงจุดชมวิวเขาค้อทะเลหมอก
ดูเวลาจะบ่ายสามโมงแล้วกับไม่รู้จะไปไหนต่อ ขี่กลับที่พักดีกว่า แวะเติมน้ำมันที่ปั้มเดิมอีกครั้ง เติมถัง 85 บาท ขี่ไปชิวล์ๆ ถึงอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงบนถนนหลวงหมายเลข 12 เกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว
เจ้าหน้าที่คนแรกที่ติดต่อไว้ออกเวรแล้ว แต่ก็ฝากเรื่องไว้กับพี่เจ้าหน้าที่อีกคนชื่อพี่เล็ก คุยกันถูกคอ ดูแลเป็นอย่างดี คอยแนะนำว่าไปทางไหน กางเต้นท์ตรงไหน ขี่ไปจะเจออะไรบ้าง คุยกับประมาณครึ่งชั่วโมง
ผมก็ขอตัวขี่ไปยังที่กลางเต้นท์ ทางที่ขี่เข้าไปเป็นทางแคบๆกว้างประมาณเลนนึง ทางไม่ค่อยดีเท่าไร ทางจะเหมือนลงเขานิดๆ ระหว่างทางเจอไก่ป่าสองตัว พี่เล็กก็บอกอยู่ว่าจะเจอ แล้วก็เจอจริงๆ เข้าไปประมาณสามกิโล ก็เจอลำน้ำเข็ก มีสะพานปูนข้ามไปอีกฝั่ง พอถึงลานกางเต้นท์ ก็จัดการกางเต้นท์ตรงข้างลำธารและเอามอไซค์จอดข้างเต้นท์ซะเลย
ผมอยากจะบอกว่า ทั้งอุทยานมีผมกางเต้นท์อยู่คนเดียวเลยครับ
ฝนก็ตกพร่ำๆ บวกกับเสียงน้ำในลำธาร นั่งกินข้าวกล่องที่ซื้อมา 35 บาท กับน้ำโกโก้ 20 บาท บรรยากาศแบบนี้ต้องบอกเลยว่าตรงกับความต้องการที่ผมชอบมากๆครับก่อนที่จะมืดก็รีบไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน หลังจากนั้นก็ไปไหนไม่ได้แล้ว เพราะมืดมาก ฝนก็ตกต่อเนื่อง ยิ่งมืดเสียงของน้ำในลำธารที่ไหลมาชนกับโขดหินก็ยิ่งดัง ผมเลยนอนฟังเสียงทั้งคืนเลยครับ…
****ขอจบเท่านี้ก่อน เดี๋ยวมาเล่าให้อ่านต่อว่าวันต่อไปจะไปไหนต่อ ในตอนต่อไป
ต้าร์ สโลว์ไลฟ์
ค่าใช้จ่าย
ค่าเติมน้ำมัน 80 + 85 = 165 บาท ระยะทาง 182 km
ค่าอาหาร 40 + 35 + 35 +20 = 130 บาท
ค่าที่พัก 40 บาท
รวม 335 บาท