“เขาค้อ” สถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เป็นยอดเขาที่มีความงดงาม อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีประวัตที่ต้องจดจำ และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากกทม. ขับรถสบายๆ ครึ่งวันก็ถึงแล้ว แต่เมื่อปี 2524 ดินแดนแห่งนี้เป็นสมรภูมิที่สร้างความสูญเสียให้กับทหารกล้าอย่างมากมาย
สวิสแลนด์เมืองไทย
ตอนที่เขาค้อเริ่มบูมการท่องเที่ยวใหม่ๆ นั้น ถึงกับมีการกล่าวขานถึงความสวยงาม ความเย็นของอากาศว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับสวิสแลนด์กันเลยทีเดียว ตัวผู้เขียนไม่เคยไปต่างแดนก็เลยบอกไม่ถูกว่าเหมือนหรือไม่ แต่ที่เขาค้อ เคยไปเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นก็ว่าสวยแล้ว บรรยากาศโดยรอบจะมองเห็นทิวเขา สุดสายตา แต่เมื่อหนาวนี้ได้มีโอกาสเยือนเขาค้ออีกครั้ง บรรยากาศมันช่างแตกต่างเสียเหลือเกิน
เขาค้อ อยู่ใน จ.เพชรบูรณ์ สามารถเดินทางไปได้ 2 เส้นทางคือ สามารถไปจาก จ.พิษณุโลก ผ่านอ.นครไทย ผ่านขึ้น อ.เขาค้อได้โดยตรง หรือจะวิ่งเส้นสระบุรี ลพบุรี เข้าอ.หล่มสัก ก่อนก็ได้ ทั้ง 2 เส้นทาง ขับรถง่ายวิ่งสบายพอกันครับ ถ้าจะเทียบกับเข็มทิศแล้ว เราจะเห็นภาพดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอนครไทย (จังหวัดพิษณุโลก) อำเภอด่านซ้าย (จังหวัดเลย) และอำเภอหล่มเก่า
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอหล่มสักและอำเภอเมืองเพชรบูรณ์
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอเมืองเพชรบูรณ์
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเนินมะปรางและอำเภอวังทอง (จังหวัดพิษณุโลก)
วันที่เดินทาง เราขับรถออกจากกรุงเทพฯช่วงค่ำ โดยไปทางลพบุรี (สาย 21) มุ่งหน้าเพชรบูรณ์ ระยะทางประมาณ 4 ร้อยกว่ากม. เปรี่ยวไหม ไม่ถึงกับน่ากลัว แต่ที่อยากได้คือปั๊มน้ำมัน เพราะเมื่อพ้นเขตเมืองลพบุรีไปแล้ว เราต้องอยู่บนถนนมืดๆ ไปนานนับชั่วโมง จนเที่ยงคืน เราก็มาถึง หล่มสัก เข้าปั๊มล้างหน้าล้างตาแล้วก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี เพราะมาแบบดุ่ยๆ ว่าแล้วก็ลงมติกันว่าขึ้นเขาค้อไปเลยแล้วกัน เอ้าว่าตามกันซิ
การขับรถขึ้นเขาค้อนั้น สามารถขึ้นได้ หลาย ทางแล้วแต่ว่ามาจากทางไหนแหละครับ เมื่อขึ้นไปถึงส่วนสูงสุดของ เขาค้อ ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ (อยู่บนยอดเขาสูงสุดของเขาค้อ อยู่เลยฐานอิทธิ ไปอีก 1 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของพลเรือน ทหาร ตำรวจ ทหาร ผู้พลีชีพในการสู้รบเพื่อปกป้องพื้นที่ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511-2525 โดยสร้างด้วยหินอ่อนเป็นรูปสามเหลี่ยมสูง 24 เมตร หมายถึง การปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ ทหารในปี พ.ศ. 2524 ผนังภายในบันทึกประวัติอนุสรณ์สถานและรายชื่อวีรชนผู้เสียสละไว้ด้วย การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2196 ไปจนถึงกิโลเมตรที่ 28 ไปเล็กน้อย มีทางแยกขวาไปเส้นทางหมายเลข 2323 ประมาณ 3 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 31 กิโลเมตร)
เช้าวันที่เดินทางไปถึงจุดชมวิวทะเลหมอกบนเขาค้อนั้น เป็นเวลาประมาณเกือบๆตี 5 แล้ว ซึ่งเหมาะเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น เนื่องจากเราสามารถจะรอชมพระอาทิตย์แสงแรกที่ขึ้นพ้นจากม้านหมอกขึ้นมาอย่างตระการตา ซึงที่จุดนี้เรายังสามารถเข้าไปชมฐานปืนสนับสนุนของทหารไทยที่ใช้ในการต่อสู้กับ ผกค.ในช่วงระหว่าง 2511-2525 โดยเสียค่าเข้าชมท่านละ 20 บาท เป็นค่าบำรุงสถานที่ ไปดูเครื่องบินปากหมา ปืนต่อสู้อากาศยาน ปืนใหญ่ที่ใช้ยิงสนับสนุนไปยังทิศทางต่างๆ เศษซากของรถหุ้มเกราะที่โดนยิงด้วยจรวจ RPG ฯ
แต่วัตถุประสงค์ของเราอยู่ที่ทะเลหมอกที่รายรอบขุนเขาเอาไว้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นสูง เราก็ออกเดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติ ทุ่งแสลงหลวง เพื่อชมความงามและสัมผัสกับอากาศเย็นนนนนนน โดยในระหว่างเส้นทางก็จะพบกับรีสอร์ทและจุดชมวิวสวยๆ มากมายตลอดเส้นทาง บ่ายเราเลือกที่จะเดินทางกลับทาง อ.นครไทย เพื่อจะได้มีโอกาสแวะกราบพระพุทธชินราชที่ จ.พิษณุโลก เพื่อเป็นศิริมงคลกับตัวเอง
การเดินทางของเราดูเหมือนจะไม่ได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า เส้นทางต่างๆจึงเป็นแบบลุยไปข้างหน้า ซึ่งแม้จะไม่ราบรื่นสักเท่าไรนัก แต่สร้างความสนุกสนานให้กับคณะผู้ร่วมเดินทางได้เป็นอย่างมาก รวมทั้งยังไม่น่าเบื่ออีกด้วย ลองดูซิครับ สำหรับการเดินทางแบบไม่ต้องวางแผน แล้วเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ
หมายเหตุ
เขาค้อ เป็นชื่อเรียกรวม ของกลุ่มภูเขาน้อยใหญ่ ที่ทอดตัวเรียงราย สลับกันในภาคเหนือตอนล่าง เป็นที่ตั้งของอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่บนภูเขา เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เนื่องจากมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี แม้แต่ในฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปี เพียง 18-25 องศาเซลเซียสเท่านั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้ได้มาพักผ่อน โดยยอดเขาสูงหลายแห่งที่น่าสนใจ เช่นเขาย่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระตำหนักเขาค้อ มีความสูง 1,290 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาผาซ่อนแก้วมีความสูงมากกว่า 1,300 เมตร ส่วนยอดเขาค้อ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละ เขาค้อ มีความสูง 1,174 เมตร สภาพอากาศบนเขาค้อจึงค่อนข้างเย็น และเย็นจัดในฤดูหนาว และยังมีทัศนียภาพที่สวยงาม เป็นแหล่งชมทะเลหมอกที่สวยมากแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก
ชื่อเขาค้อ มีที่มาจาก ป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก ซึ่งโดยปกติต้นค้อจะขึ้นในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น ป่าไม้ในแถบนี้เป็นป่าเต็งรังหรือป่าไม้สลัดใบ ป่าสน และป่าดิบ ที่น่าสนใจก็คือ พันธุ์ไม้ตระกูลปาล์ม ลักษณะคล้ายต้นตาล แต่ออกผลเป็นทะลายคล้ายหมาก แม้ปัจจุบันป่าจะถูกถางไปมากก็ตาม แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง
จุดเด่นของเขาค้อ คือการเที่ยวชมทะเลหมอกในฤดูฝน และฤดูหนาว ซึ่งอยู่บริเวณจุดชมวิวเหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัย ใกล้กับสถานที่สำคัญทางราชการหลายแห่ง ในอำเภอเขาค้อ นอกจากจะมีความสวยงามตามธรรมชาติแล้ว ยังเป็นสถานที่สำคัญอย่างยิ่งทางประวัติศาสตร์ของประเทศ เนื่องจากเป็นพื้นที่ ที่ทางราชการ ใช้ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในอดีต ก่อนที่ผกค. จะแพ้พ่าย และสูญหายไปจากประเทศไทย ซึ่งสถานที่สำคัญหลายแห่งบนเขาค้อ ยังปรากฎหลักฐานเหล่านี้อยู่จำนวนมาก
สถานที่น่าสนใจบนเขาค้อ
ชมทะเลหมอก ทะเลหมอกบนเขาค้อเกิดขึ้นบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัย ทำให้สามารถชมวิวทะเลหมอกได้เป็นบริเวณกว้าง จุดหลักของการชมทะเลหมอก คือริมเส้นทางสาย 2196 บริเวณตรงข้ามที่ทำการอำเภอเขาค้อ ซึ่งมีศาลาชมวิว สถานที่ราชการ และจุดกางเต็นท์สำหรับพักแรมของหน่วยงานราชการ และรีสอร์ทเอกชนจำนวนมาก ไว้รองรับนักท่องเที่ยวทะเลหมอกมักเกิดในฤดูฝน และฤดูหนาว ในวันที่อากาศมีความชื้นสูง หรือวันที่มีอากาศหนาวเย็น ซึ่งปกติสามารถชมทะเลหมอกได้ในวันที่ไม่มีลมแรง ส่วนวันที่มีลมแรง มักไม่มีทะเลหมอก แต่จะได้อากาศเย็นสดชื่นจากสายลมมาแทน
ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.khaoko.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=280029&Ntype=5