เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเชียงใหม่ เพื่อทดสอบรถนิสสัน Syphy ซึ่งในครั้งนั้น ทางนิสสันได้ให้สื่อมวลชนเข้าพักที่ “137pillarshouse” ฟังทีแรกก็งงว่าคือโรงแรมอะไร ทว่าเมื่อได้เห็นกับตาถึงกับหลงรักโรงแรมนี้เข้าให้อย่างจัง เพราะความสวยงามในแนวบ้านเก่า ซึ่งหาได้ยากเต็มที ด้วยเนื้อที่มากมายขนาดเดียวกันนี้ถ้าทำโรงแรมใหญ่ๆ ก็ต้องมีเป็นร้อยห้อง แต่ที่ 137pillarshouse แห่งนี้ กลับเก็บภาพความทรงจำเก่าๆ เอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง
เจ้าของบ้านไม้สักเก่าอายุร่วม 150 ปี หลังนี้เดิมเคือ Louis T. Leonowens ลูกชายของ Anna Leonowens (หรือที่ชาวสยามและทั่วโลกรู้สึกรู้จักกันในนามแหม่มแอนนาจากนิยายเรื่อง Anna and The King of Siam) ปัจจุบันตัวบ้านทำหน้าที่เป็นบาร์และห้องสมุดของโรงแรมซึ่งได้รับการรักษาและบูรณะงานสถาปัตยกรรมล้านนาไว้อย่างดีเยี่ยมทุกกระเบียด ห้องพักสวีตทุกห้องละเมียดบรรจงในทุกรายละเอียด จำนวนแค่ 30 และหนึ่งใน 30 ห้องคืนนั้น ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสพักผ่อนบนที่นอนแสนนุ่ม แม้ตัวสิ่งปลูกสร้างที่บางส่วนจะมีการก่อสร้างขึ้นใหม่ แต่ก็จะถูกออกแบบให้ผสมกลมกลืนไปกับของเดิมที่เป็นอยู่ จึงเสมือนอยู่ในเรือนไทยเป็นครอบครัวใหญ่ สิ่งที่น่าทึ่งอีกประการคือ การติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ทันสมัย
ประวัติบ้าน137เสา
“บ้าน137เสา” สร้างขึ้นในปี 1889 (พ.ศ 2432) และถูกใช้เป็นบ้านพักของผู้จัดการบริษัทอีสบอร์เนียวจากัด ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติที่ได้รับพระราชานุญาตให้ทาป่าไม้ในเชิงพาณิชย์ ในขณะนั้นผู้จัดการบริษัทสาขาเชียงใหม่คนแรก คือคุณหลุยส์ ลีโอโนเว่นส์ (ลูกชายคุณแอนนา ลีโอโนเว่นส์ ผู้เป็นอาจารย์ถวายการสอนภาษาอังกฤษในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ในช่วง20ปีก่อนหน้า) คุณ หลุยส์ ลีโอโนเว่นส์ได้เข้าร่วมทางานกับ บริษัทอีสบอร์เนียวจากัดในปี1886 และเริ่มสร้างออฟฟิศแรกที่เชียงใหม่ในปี1889 ซึ่งในขณะนั้นเชียงใหม่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าต้นสัก
ในสมัยนั้น เชียงใหม่ได้แบ่งเขตที่อยู่อาศัยระหว่างชาวต่างชาติและชาวเชียงใหม่ โดยได้จัดให้ชาวต่างชาติอาศัยอยู่ฝั่งตะวันออก(ฝั่งวัดเกตในปัจจุบัน) ส่วนชาวไทยอาศัยอยู่ด้านฝั่งตะวันตก
ในปี1896 บ้าน137เสาได้ถูกย้ายจากที่เดิมบนฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งวัดเกตและยังคงตั้งอยู่ที่เดิมจนถึงปัจจุบันนี้ บ้าน137เสาถูกใช้เป็นบ้านสาหรับผู้จัดการของบริษัทอีสบอร์เนียวจากัดอยู่จนกระทั่งปี1927 เมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในตอนที่กองทัพญี่ปุ่นเข้าควบคุม เป็นเหตุให้ผู้จัดการบริษัทอีสบอร์เนียวจากัดต้องหลบหนีไปอยู่ที่พม่าและปล่อยบ้านทิ้งไว้
หลังสงคราม ชายชาวสก็อตแลนด์ชื่อคุณคุณวิลเลี่ยม เบน ได้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้และได้แต่งงานสร้างครอบครัวกับสาวลูกครึ่งชาวอังกฤษ-มอญ หลายปีต่อมา ลูกชายของคุณวิลเลี่ยมชื่อคุณแจ็ค เบน (หรือที่รู้จักกันในนาม Uncle Jack ก็ได้สร้างครอบครัวของท่านเองที่บ้านหลังนี้ ปัจจุบันลุงแจ็คอายุ 92 ปีและพักอาศัยอยู่ข้างๆบ้าน137เสานั่นเอง
การเรียนรู้ประวัติของโรงแรม จะช่วยให้ท่านเข้าใจชื่อห้องพักต่างๆในโรงแรมได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ห้องวิลเลี่ยมเบนสวีท, หลุยส์ ลีโอโนเว่นสวีท, อีสบอร์เนียวสวีท และ ราชาบรู๊คสวีท ยกตัวอย่างเช่นห้องราชาบรู๊คสวีท ตั้งชื่อตามผู้กษัตริย์องค์แรกแห่ง อีสบอร์เนียวซึ่งครองราชย์ระหว่างปี 1842-1854
ในตอนล่าสุดของตานานที่น่าประทับใจของบ้าน137เสานี้เริ่มต้นในปี2002 เมื่อคุณพนิดา วงศ์พันเลิศ (เจ้าของในปัจจุบัน) เดินทางมาพักผ่อน ที่เชียงใหม่และตกหลุมรักบ้าน137เสาแห่งนี้ ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “บ้านดา”
คุณพนิดาได้กล่าวถึงบ้านหลังนี้ไว้ว่า “เรารู้สึกเหมือนดั่งต้องมนต์สะกดและหลงรักบ้านหลังนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ยิ่งเมื่อเราได้ทราบเกี่ยวกับประวัติที่ชวนให้หลงใหลของบริษัทอีสบอร์เนียวและบ้าน137เสาแห่งนี้ ทางครอบครัวเราจึงตัดสินใจที่จะเผยแพร่ประวัติศาสตร์ไทยส่วนนี้ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ด้วย
ทั้งนี้ในปลายปี1800 มีบ้านบอร์เนียวอยู่สี่หลังและทั้งหมดได้ถูกสร้างไว้โดยมีเสาค้าเป็นฐาน โดยเฉพาะบ้านดาแห่งนี้ซึ่งประกอบไปด้วยเสาถึง137ต้นด้วยกัน จึงเป็นที่มาของชื่อ”บ้าน137เสา”นั่นเอง via:http://137pillarshouse.com/
เป็นโรงแรมแรกที่ไปพักแล้ว อยากแนะนำให้คนที่รู้จักได้ไปพักได้พบกับความสวยงาม ความสงบและความสุภาพของพนักงานทุกคนที่นี่ครับ