“คีรีวงกต”หาลยคนคงจะได้ยินมาบ้าง หมูบ้านที่อยู่ในอำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี เป็นเขตติดต่อกับจังหวัดเลย สภาพโดยทั่วไปจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีลำน้ำใหลผ่านซึ่งกาลายเป็นจุดท่อเทียวเที่ยวที่น่าสนใจ เราสามารถขับรถไปเที่ยวหมู่บ้านคีรีวงกตได้ 3 ทางคือ เข้าทางจังหวัดเลยผ่านเชียงคาน กับวิ่งไปทางหนองคาย เข้าอำเภอสังคม เลาะแม่น้ำโขง และสุดท้ายคือไปปทางจังหวัดอุดรธานี-หนองบัวลำภู ทุกเส้นทางมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป
จะเลือกเข้าทาง แล้วออกอีกเส้นทางก็ได้ อีกเช่นกัน
เช้ามืดวันที่อากาศเป็นใจ เราได้ขับเจ้ากระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ แรบเตอร์ ที่ได้รับมา มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านคีรีวงกต เราเลือกใช้เส้นทางที่ค่อนข้างคุ้นเคย ผ่านปากช่อง ไปชัยภูมิ ผ่านอุดร แล้วเลี้ยวไปตามป้ายนำทาง”คีรีวงกต” ตลอดระยะทาง กว่า 600กิโลเมตร เราใช้เวลาเกือบทั้งวันก็จริง แต่กลับมีแต่ความเพลิดเพลินจากสมรรถนะของเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ และเกียร์ออโตเมติกที่นุ่มนวล เส้นทางส่วนใหญ่แม้จะเป็นทางเรียบ แต่กลับอุดมไปด้วยโค้งมากมาย ทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม เย็นๆ เราก็เข้าเขตหมู่บ้านคีรีวงกต เนื่องจากเรามาแบบไม่ได้จองที่พักไว้ จึงทำให้ต้องเสียเสลาอยู่พักใหญ่ กว่าจะได้ที่พักในคืนนี้ (ที่พักทั้งหมดจะเป็นโฮมสเตย์) การมาโดยไม่จองจึงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำตามอย่างยิ่งครับ
เช้าที่สดใสกับแสงแดดที่สาดส่อง
เช้านี้เราเติมพลังงานกันอย่างเรียบง่ายก่อนจะเก็บเครื่องใช้และเสื้อผ้าออกจากที่พัก เพื่อหาวิวสวยๆ ที่เหมาะกับไดโนเสาร์สีแดงคันนี้ จนได้รับคำแนะนำจากเจ้าของบ้านว่า ที่ใต้สะพานก่อนเข้าหมู่บ้าน สามารถนำรถลงไปได้ ถ้าไม่กลัวติด อ้าว เจอคำตอบที่เหมือท้าทายกัน ก็ต้องไปลองดูกันหน่อยแล้ว
สภาทางจะเป็นลำน้ำที่ชาวบ้านนำรถแต๊กมาวิ่งพานักท่องเที่ยวชมวิวกลางลำน้ำ สภาพพื้นจะเป็นกรวดปนทรายและหินก้อนใหญ่ๆยาวไปจนถึงลำน้ำถ้ารถที่กำลังไม่ดีคงไม่สามารถไปได้เกินกว่า 10เมตร
เมื่อเดินสำรวจจนมั่นใจแล้วว่าไม่จมทรายแน่ๆ แล้ว เราก็ปรับไปเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อ ในโหมดทราย แล้ววิ่งลงจากตลิ่งมุ่งหน้าเพื่อข้ามลำน้ำไปยังจุดถ่ายภาพที่หมายตาไว้ แม้จะเคยขับมาแล้วหลายครั้ง แต่รอบนี้ก็ยังรู้สึกสนุกและลุ้นไปตลอดเวลา ไม่ใช่กลัวไปไม่ได้ แต่กลัวว่าจะติดใจไปจนเลยเวลากลับเท่านั้นเอง ระยะทางไม่ไกล เวลาที่ใช้ก็เช่นกัน เรานำรถเข้ายังจุดที่ตั้งใจได้ในเวลาที่ต้องการ หินก้อนใหญ่ๆ ก็ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนที่ของเจ้าไดโนเสาร์คันนี้ได้แม้แต่น้อย
เราใช้เวลาถ่ายภาพกันไม่นาน เนื่องจากแสงแดดเร่ิมแรงกล้า จึงหันไปถากพ่อใหญ่ที่เดินมาสังเกตุการณ์อยู่ใกล้ๆ (พร้อมเก็บภาพไปด้วย)ว่า ลำน้ำที่เห็นนี้ไปถึงไหน แล้วรถลงได้ไหม พ่อใหญ่ตอบว่า ขยับมาใต้สะพานอีกไม่ถึง 20เมตร น้ำลึกแค่เอวเองลูกเอ้ย….!!! พอซิครับ ไม่ลงไปต่อดีกว่า เพราะแม้รถจะไปได้ก็จริง แต่การลงไปลุยน้ำจะสร้างปัญหาให้กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั่นเองครับหล่อขึ้นมาทันที555
สิ่งที่ช่วยให้การลงและขึ้นมาเกิดขึ้นอย่างง่ายดายนั้น ประกอบด้วย เครื่องยนต์ที่มีกำลังเหลือๆ ระบบส่งกำลังที่ออกแบบมาเพื่อการขับเคลื่อนในพื้นที่เฉพาะ(ตามโหมดที่เราได้เลือกใช้)และสุดท้ายคือ ระบบกันสะเทือนที่ให้ความนุมนวล ให้ตัวได้มาก ทำให้เมื่อต้องเจอกับพื้นที่ที่เป็นก้อนกิน ล้อทั้งหมดก็ยังสามารถลงแตะพื้นได้อย่างมั่นคง
คุยเรื่องห้องโดยสารบ้าง
ความโดดเด่นที่เราสามารถสัมผัสได้เมื่อเปิดกระตูเข้าไปนั่งคือ เบาะที่ออกแบบมาให้รับกับสรีระ เล่นสีด้ายเพิ่มความดุดันเข้าไป พวงมาลัยออกแบบมาให้จับได้กระชับมือ พร้อมมาร์คช่วยไม่ให้หลงพวงมาลัย สำคัญมากเมื่อต้องขับในเส้นทางสุดทุระกันดาน จอมอนิเตอร์แสดงผลและสั่งการระบบต่างๆ มองเห็นได้ชัดเจน
สิ่งที่แตกต่างของแรบเตอร์กับรถกระบะทั่วไปคือ ระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในสภาพเส้นทางที่โหดร้ายเกินกว่ารถกระบะ 4×4 ทั่วไปจะผ่านเข้าไปได้ โดยฟอร์ดได้เลือกใช้คอยล์สปริงแทนแหนบและชุดช๊อคอับจาก FOX ครบทุกตัว เมื่อลุยได้หนักหน่วงแล้ว หากหยุดได้ไม่ดีก็เสียชื่อ ระบบเบรคจึงจัดให้เป็นดิสก์เบรคครบทั้ง 4ล้อเช่นเดียวกัน
การเดินทางของเราเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อวิ่งกลับขึ้นสู่ทางดำ เราเลือกที่จะกลับทางอำเภอสังคม เลาะชายแดนเลี่ยบแม่น้ำโขง ตื่นตาตื่นใจกับความงามของเกาะแก่งริมน้ำ เส้นทางกลับนั้น เราต้องวิ่งกันไกลมา แต่ด้วยสมรรถนะของตัวรถทำให้การเดินทางที่ยาวนานเป็นไปด้วยความราบลื่น
อีกเรื่องที่เราต้องบอกคือ อัตราสิ้นเปลือง ด้วยขนาดยางที่ใหญ่กว่าปกติ ตัวรถที่กว้าง และการออกแบบเพื่อเน้นสมรรถนะในเส้นทางออฟโรด น้ำหนักตัวที่มากกว่าเรนเจอร์ จึงทำให้ตัวเลขการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 10-13กิโลเมตร ต่อลิตรเท่านั้น
สุดท้ายต้องขอขอบคุณฟอร์ด ประเทศไทย ทีมประชาสัมพันธ์ และชาวหมู่บ้านคีรีวงกตทุกท่านที่ช่วยเหลือในทุกสิ่ง