หลังจากที่ได้นอนฟังเสียงน้ำไหลของลำน้ำเข็กบวกกับเสียงฝนที่ตกลงมาบนผ้าใบเต้นท์ทั้งคืน มันทำให้การนอนกางเต้นท์ในอุทยานทุ่งแสลงหลวงของผมนั้น หลับสบายจริงๆ
แต่เมื่อตื่นขึ้นมา ผมอยากจะรีบลุกออกจากเต้นท์เลย ถามว่าทำไม ลองจินตนาการตามนะครับ
ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่อยากได้…
ได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นที่ต้องการ…
ได้เห็นลำธารอยู่ตรงหน้าในระยะไม่กี่ก้าว…
ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง…
ได้ยินเสียงน้ำในลำธารไหลผ่านกระทบโขดหินดังซู่ ซู่… (อันนี้ผมคิดเองนะเหมือนมันให้กำลังใจผมว่า สู้ สู้… ^^ )
มันเลยเป็นที่มาของคำว่า “ได้หมดถ้าสดชื่น ”
หลังจากนั้นไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ตัวถูกน้ำครั้งแรกถึงกับสะดุ้งกันเลยทีเดียว ต้องรีบอาบเหมือนวิ่งผ่านน้ำ รีบเช็ดตัวแล้วรีบเดินกลับเต้นท์เพื่อแต่งตัว เตรียมตัวเก็บเต้นท์และเก็บสัมภาระทั้งหมด ค่อยๆใส่รถจนครบและรัดของจนเสร็จเรียบร้อย ดูเวลาจะแปดโมงเช้าแล้วครับ
ขี่รถมาจอดถ่ายรูปตรงสะพานสลิงของอุทยาน เดินสำรวจไป ถ่ายรูปไป เลยได้ความรู้มาอย่างว่าฝั่งที่ผมกลางเต้นท์นอนเมื่อคืนเป็นฝั่งของอำเภอวังทอง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นของอำเภอนครไทย สรุปผมอยู่ตะเข็บชายแดนของอำเภอทั้งสองของพิษณุโลกหรือนี่…
ใช้เวลาอยู่ตรงสะพานประมาณสิบนาที ถึงเวลาที่ต้องจากลากันแล้ว ผมขี่ไปจนถึงสะพานปูนก็แวะถ่ายรูปอีกซักครั้ง ขี่ข้ามลำธารออกทางเดิมที่เข้ามาเมื่อวาน
ระหว่างทางที่ขี่กลับเจอไก่ป่าสามตัวตรงถนนอีกแล้ว แต่พวกมันไวมาก หนีเข้าป่าข้างทาง ขี่ต่อมาอีกหน่อยเจอหมาจิ้กจอกตัวนึง หนีเข้าป่าไปอีกเหมือนกัน
ขี่มาจนถึงสำนักงานอุทยานเพื่อติดต่อของรับบัตรประชาชนคืนและชำระค่าพื้นที่กลางเต้นท์ 30 บาท (เมื่อวานจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน 40 บาทไปแล้ว) ระหว่างที่เดินออกมาจากสำนักงานจะไปที่รถ เจอผู้ชายสามสี่คนเดินสวนมา หนึ่งในนั้นถามผมว่า
“น้องครับเมื่อคืนนอนที่อุทยานหรอ นอนตรงไหน มายังไง แล้วมากี่คน…”
ผมพยักหน้าพร้อมตอบไปว่า
“เออ ใช่ครับ ผมกางเต้นท์นอนข้างลำน้ำเข็ก ขี่มอไซค์มาคนเดียวจากกรุงเทพครับพี่…”
หลังจากที่ผมตอบไป ดูพี่เค้าตื่นเต้นมากพร้อมกับเรียกเพื่อนๆ เพื่อขอถ่ายรูปหมู่กับผมร่วมกับรถไว้เป็นที่ระลึก คุยไปคุยมาพวกพี่ๆเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามาจากนครสวรรค์เพื่อตรวจเยี่ยมอุทยานทุ่งแสลงหลวง พูดคุยกันสนุกเกือบครึ่งชั่วโมง เนื้อหาส่วนใหญ่คุยกันเรื่องการเดินทางของผมเป็นหลัก
ไม่นานพวกพี่ๆขอตัวและกล่าวคำล่ำลากับผม ขอให้ผมโชคดีและเดินทางปลอดภัย ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่ๆทุกคน แล้วค่อยๆขี่รถจากออกมา
“ บางครั้งการเดินทางมันอาจจะไม่สำคัญเท่ากับมิตรภาพที่ได้พบเจอ…”
ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะสองวันที่ผ่านมา ผมเจอมิตรภาพจากผู้คนที่ผมไม่รู้จักกันมาก่อน ได้เป็นเพื่อนกัน ได้รับการยอมรับ ห่วงใยกัน สนใจกัน มันเป็นความสุขที่บอกไม่ถูกจริงๆครับ ^^
หลังจากพบเจอเรื่องดีๆระหว่างการเดินทาง มันยิ่งทำให้เหมือนมีกำลังใจเพิ่มขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ผมขี่มุ่งหน้าไปจังหวัดพิษณุโลก ตามทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านแยกวังทอง จนมาถึงแยกซีพีเลี้ยวขวามุ่งหน้าทางหลวงหมายเลข 11 ไปจังหวัดอุตรดิตถ์
เส้นทางนี้จะเป็นทางตรงยาวๆ และน่าจะไม่ค่อยมีปั้ม ผมรีบแวะเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน จ่ายไป 90 บาท ระหว่างทางที่ไปมีทำถนนช่วงสั้นๆ แต่ยังดีที่วันนี้ไม่มีฝนมาเป็นอุปสรรค
ถนนช่วงนี้สามารถทำความเร็วไปพอสมควร ขี่ไปจนถึงสี่แยกหนองกวาง เลี้ยวขวาไปทางหลวงหมายเลข 1246 ไปทางอำเภอน้ำปาด ซึ่งผมยังไม่เคยมาทางเส้นนี้เลย
เหตุผลอะไรที่เลือกใช้เส้นทางนี้หรอครับ….
“ อยากไปข้ามแพตรงหมู่บ้านประมงปากนายและกางเต้นท์นอนที่ดอยเสมอดาวนั่นเอง… ”
ระหว่างทางจากแยกหนองกวางถึงอำเภอน้ำปาดหลักกิโลเมตรบอกไว้ที่ 66 กิโลเมตร ถนนค่อนข้างดีครับ เป็นเลนสวนสองเลน มีวิวสองข้างทางเป็นภูเขาและทุ่งนา รถไม่ค่อยเยอะ นานๆจะสวนมาที พอจะมีทางโค้งให้ได้ลับหน้ายางบ้าง
ขี่มาทางเส้นนี้ลึกๆ ผมเองกลัวหลงอยู่เหมือนกัน แต่พอไปจริงๆ มีป้ายและหลักกิโลบอกเป็นระยะ ขี่ผ่านถนนทางหลวงหมายเลข 1246 เชื่อมต่อไปยังทางหลวงหมายเลข 1214 และทางหลวงหมายเลข 117 จนถึงแยกอำเภอน้ำปาด
เออ…ผมลืมบอกไปว่า เส้นทางที่ขี่ผ่านมานั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวและน่าสนใจเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนสิริกิติ์ มเหสักข์ วนอุทยานต้นสักใหญ่ เลยน้ำปาดขึ้นไปมีป้ายบอกไปภูสอยดาว และชายแดนไทย-ลาว ภูดู่ ด้วยครับ
ย้อนกลับมาที่การเดินทางของผมต่อครับ ตอนนี้ผมถึงอำเภอน้ำปาด จอดแวะซื้อน้ำและเติมน้ำมัน เติมไป 80 บาทก็เต็มถัง รัดของเสร็จ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ดูเวลาบ่ายโมงกว่า สองจิตสองใจ กินข้าวก่อนหรือขี่ต่อไปเลยดี ลังเลอย่างซักพัก ตัดสินใจขี่ต่อเลยแล้วกัน
ไปเส้นทางหลวงหมายเลข 1339 จากอำเภอน้ำปาดถึงหมู่บ้านประมงปากนายระยะทางอีกประมาณ 70 กิโลเมตร
ถนนช่วงออกจากอำเภอน้ำปาดยังค่อนข้างดีอยู่ มีโค้งสลับขึ้นลงเขา ผ่านชุมชนบ้าง แต่ช่วงประมาณสิบกว่ากิโลก่อนถึงหมู่บ้านประมงปากนาย ถนนจะมีหลุมให้ได้หลบ มีทางฝุ่นบ้าง ส่วนวิวเป็นเขาและไร่สวนของชาวบ้านตลอดสองข้างทาง
ระหว่างทางเจอรถสายพานยอดฮิต 150 ซีซีคันนึงมีกล่องหลัง กล่องข้าง ดูแล้วไม่น่าจะเป็นรถชาวบ้านขี่สวนมา เค้ายกมือทักทายและพยักหน้ามา ผมยกมือและยิ้มทักทายกลับไปตามประสาชาวสองล้อ ^^
หลังจากเจอเพื่อนชาวสองล้อสวนผ่านไป ไม่ถึงอึดใจ ผมหันมองด้านซ้ายมือเห็นลำน้ำและมีป้ายบอกว่าถึงหมู่บ้านประมงปากนาย ได้เห็นแล้วรู้สึกดีต่อใจผมจริงๆ
“ถึงแล้วเว้ยเฮ้ย…” ผมตะโกนออกมาอย่างสะใจ
ไม่รอช้า ผมขี่รถลงไปยังจุดที่แพมารับ ระหว่างนั้นเจอเพื่อนร่วมทาง เป็นผู้หญิงขับรถเก๋ง มากันสองคน จอดรอผมก่อนทางลง ถามว่าลงตรงนี้ได้ไหมค่ะ ผมขี่ไปดูทางให้ก่อน บอกให้ลงอีกทางจะง่ายกว่า
แพรอบแรกมาผมยังไปไม่ได้ มีรถกะบะที่จอดรออยู่ก่อนและรถเก๋งของน้องผู้หญิงได้ไปก่อน แพที่บรรทุกรถยนต์ไปได้รอบละสองคัน ส่วนผมต้องรอแพที่บรรทุกมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ รอไม่นานมีลุงขับแพยนต์ลำเล็กมารับ รอบนี้เหมาลำครับเพราะมีอยู่คันเดียว
ระหว่างที่อยู่บนแพ ผมพูดคุยกับลุงคนขับและถ่ายรูปไปเรื่อย ใช้เวลาไม่นานแพมาถึงอีกฝั่ง ค่าบริการข้ามแพสำหรับมอไซค์แบบผมเพียง 100 บาท (ตอนแรกดูที่ป้ายบนแพ 150 บาท ลุงบอกร้อยเดียวพอ ผมยิ้มซิครับ รออะไร^^)
ดูเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่า ผมเริ่มมีอาการหิวเลยแวะหาอะไรกินที่ร้านขายของและขายอาหารตรงแถวทางขึ้นฝั่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นแพที่อยู่อาศัย ผมเข้าใจว่าเป็นแบบนั้นเพราะช่วงที่สั่งอาหาร มีบุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมายให้ที่แพพอดี หลังจากทานเสร็จ จ่ายค่าเสียหายไป 50 บาท
ช่วงสุดท้ายของการเดินทางวันนี้ ไปสุดที่อำเภอนาน้อยอีก 38 กิโลเมตร ใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 1026 ถนนช่วงนี้สวยมากๆครับ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขา แทบจะไม่มีทางตรง โค้งไปโค้งมาตลอดทาง ขึ้นลงเขาสลับกันไป แม้สัมภาระที่ขนมาจะหนักพอสมควร ผมยังรู้สึกขี่สนุกกับการเข้าโค้งและความเร็วที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมาก ผมเน้นขี่ไปเรื่อยๆ พร้อมชมวิวสองข้างทางไปด้วย
ขี่มาเรื่อยผ่านอำเภอนาหมื่น จนมาตัวอำเภอนาน้อย ช่วงนี้ไม่สามารถใช้ความเร็วได้เลยครับ เพราะเป็นเขตชุมชนบวกกับโรงเรียนเลิกด้วย ถนนแคบ มีเด็กนักเรียนเดินกลับบ้านตามข้างถนนทั้งสองฝั่ง เด็กบางคนก็ขี่มอไซค์กลับ รถบางคันซ้อนสอง บางคันซ้อนสาม ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเลยครับ
ใกล้จะถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้ ผมรีบแวะเติมน้ำมัน ซื้อของกินและน้ำก่อนขี่ขึ้นดอยเสมอดาว ส่วนน้ำมันยังเหลือครึ่งถังแต่เติมให้เต็ม เติมไป 70 บาท ของกินอีกร้อยกว่าบาท
จากตรงนี้ไม่ไกล เหลืออีก 16 กิโลเมตร ถึงดอยเสมอดาว ระหว่างขี่ไปรู้สึกเริ่มสัมผัสกับความหนาวเย็นได้บ้างแล้ว ทางจะไม่ชันมากเท่าไร แต่พอใกล้จะถึงจะลาดชันขึ้น แต่ไม่เกินความสามารถครับ
ผมขี่เข้าไปที่ทางเข้าดอยเสมอดาว มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่พร้อมแจ้งชำระค่าธรรมเนียม 40 บาท จ่ายเงินเสร็จก็ขี่ขึ้นไปที่ลานกางเต้นท์ข้างบน เสียค่ากางเต้นท์อีก 30 บาท
ข้างบนที่ลานกางเต้นท์ดอยเสมอดาว เจ้าหน้าที่อุทยานจะอนุญาตให้เอารถยนต์ขึ้นมาเพื่อเอาสัมภาระลงได้เท่านั้น แล้วให้ลงไปจอดข้างล่าง ผมจอดรถเอาของลงเหมือนกัน มีแต่คนมองผม อาจเป็นเพราะผมเป็นนักท่องเที่ยวคนเดียวที่ขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมา พี่เจ้าหน้าที่เห็นและเดินมาบอกว่ามอเตอร์ไซค์จอดข้างบนได้ ผมนี่ยิ้มออกนอกหน้าเลยครับ ^^
หลังจากนั้นผมรีบเอาเต้นท์มากางก่อนที่จะมืด กางเต้นท์เสร็จแล้ว ผมนั่งทานอาหารที่ซื้อมา และมองไปรอบตัว ดูคนไม่เยอะมากเท่าไร แต่ครึกครื้นกันดี บางคนสนุกกับการถ่ายรูปกับเพื่อนๆ เด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนาน บางเต้นท์คุยกันสนุก หัวเราะเสียงดัง บางเต้นท์ทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้ผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจริงๆ
ปลายทางของการเดินทางวันนี้ ผมได้มานอนดูดาวที่ดอยเสมอดาวแห่งนี้จนได้ มันเป็นอีกตั้งใจของผมที่ได้จากการมาขี่เที่ยวครั้งนี้
“ ความสุขของผมก็แค่นี้เองครับ…”
****ขอจบเท่านี้ก่อน เดี๋ยวมาเล่าให้อ่านต่อว่าวันต่อไปจะไปไหนต่อ ในตอนต่อไป
ต้าร์ สโลว์ไลฟ์
ค่าใช้จ่าย
ค่าเติมน้ำมัน 90 + 80 +70 = 240 บาท ระยะทาง 263 km
ค่าอาหาร 20 + 50 + 110 = 180 บาท
ค่าที่พัก 30 + 40 + 30 = 100 บาท
ค่าบริการข้ามแพ 100 บาท
รวม 620 บาท